การให้ความสำคัญแก่สวัสดิการพนักงานตามกฎหมาย เป็นสิ่งที่หลายๆ องค์กรควรให้ความสำคัญ เพราะเป็นพื้นฐานที่พนักงานควรได้รับ นอกจากนี้ การเสนอสวัสดิการเพิ่มเติม จะช่วยให้สามารถจูงใจบุคลากรที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพได้ เพราะสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของพนักงานให้อยู่กับองค์กร หรือแก้ปัญหาพนักงานลาออกบ่อย ไม่ได้มีเพียงแค่เนื้องาน และเงินเดือนเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสวัสดิการต่างๆ เช่น โบนัส หรือวันลากิจฉุกเฉิน เป็นต้น
บทความนี้ได้รวบรวมสวัสดิการพนักงานตามกฎหมายบังคับ และสวัสดิการที่พนักงานยุคใหม่ต้องการ ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้น ไปดูกันเลย
ประเภทสวัสดิการพื้นฐานตามกฎหมายแรงงาน ที่ผู้ประกอบการควรรู้
สวัสดิการพื้นฐานนั้นผู้ประกอบการควรรู้ไว้ เพื่อนำไปปรับใช้กับนโยบายของบริษัท หากสวัสดิการดีและครอบคลุมจะเป็นตัวดึงพนักงานคุณภาพมาร่วมงานกับบริษัทของคุณได้ มาดูกันว่าสวัสดิการพนักงานพื้นฐานตามกฎหมายแรงงานนั้นมีอะไรบ้าง
สวัสดิการเพื่อความมั่นคงและสุขภาพของลูกจ้าง
สวัสดิการเพื่อความมั่นคงและสุขภาพ ถือเป็นสวัสดิการพื้นฐาน ที่องค์กรจำเป็นต้องให้พนักงาน เพื่อให้พนักงานมีระดับความเป็นอยู่ที่ดี มีความปลอดภัย และมีสุขอนามัยที่ดี ซึ่งมีดังนี้
สวัสดิการด้านการรักษาพยาบาล
รัฐได้กำหนดให้บริษัทจัดการเรื่องสวัสดิการด้านการรักษาพยาบาลให้กับลูกจ้าง เพราะสวัสดิการพนักงานรูปแบบนี้ถือว่ามีความสำคัญลำดับต้นๆ ซึ่งแต่ละบริษัทหรือองค์กรก็จัดสรรแตกต่างกันออกไป โดยสวัสดิการด้านสุขภาพมีดังนี้
- ประกันสังคม: สิทธิประกันสังคมเป็นสวัสดิการขั้นพื้นฐาน เพื่อช่วยสร้างความมั่นคงและหลักประกันในชีวิตให้กับพนักงงาน โดยประกันสังคมให้ความคุ้มครองในด้านการรักษาพยาบาล ไม่ว่าจะเป็น ความเจ็บป่วยทั่วไป อุบัติเหตุ เจ็บป่วยฉุกเฉิน ทุพพลภาพ เสียชีวิต หรือคลอดบุตร เป็นต้น แต่ยังมีข้อจำกัด เนื่องจากเป็นเพียงการรักษาขั้นพื้นฐานเท่านั้น หากมากกว่าที่กำหนดไว้ จำเป็นต้องจ่ายเอง ดังนั้นจึงอาจจะต้องพิจารณาประกันสุขภาพด้านอื่นควบคู่กันไปด้วย
- ประกันสุขภาพ: ประกันสุขภาพมีจุดประสงค์ในการสนับสนุนการรักษาพยาบาลเมื่อต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล หรือกรณีอุบัติเหตุ ซึ่งจะคุ้มครองเมื่อพนักงานเจ็บป่วยไข้ หรือบาดเจ็บ และโรคร้ายแรง ข้อดีของการมีประกันสุขภาพ คือ ครอบคลุมมากกว่าประกันสังคมในเรื่องค่ายาและค่าใช้จ่ายต่างๆ ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่าย ของพนักงานได้มากขึ้น
การให้เงินทดแทนในกรณีที่พนักงานไม่สามารถทำงานได้
เมื่อมีกรณีที่พนักงานประสบอุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยต่างๆ ซึ่งทำให้ไม่สามารถมาปฏิบัติงานได้ตามปกติ ทางบริษัทต้องจ่ายเงินให้กับพนักงานเป็นระยะเวลา 30 วัน หากมีคำสั่งจากแพทย์ให้พักต่อเนื่องมากกว่า 30 วันขึ้นไป ประกันสังคมจะจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ให้บุคคลนั้น
ประกันชีวิต
ประกันชีวิตเป็นการสร้างความมั่นคงให้กับพนักงานและครอบครัว ในกรณีที่พนักงานถึงแก่ความตาย ประกันชีวิตจะเข้ามามีบทบาทในการจัดการกับเรื่องดังกล่าว โดยองค์กรจะเลือกการทำประกันแบบกลุ่ม ซึ่งมีดอกเบี้ยค่าประกันที่ค่อนข้างถูก รวมถึง สามารถครอบคลุมและคุ้มครองพนักงงานในบริษัทได้ค่อนข้างครบถ้วน
การบำนาญ
บำนาญถือเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งที่ลูกจ้างหลายๆ คนพิจารณา เมื่อต้องเลือกทำงานกับบริษัทต่างๆ เนื่องจากบำนาญนั้นให้สิทธิประโยชน์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างเกษียณอายุไปแล้ว ส่งผลให้ลูกจ้างที่ไม่สามารถทำงานต่อไปได้เนื่องจากอายุที่มากขึ้น มีเงินใช้จ่ายและดำรงชีวิตต่อไปได้ โดยประกันสังคมจะจ่ายเงินบำนาญให้ในกรณีที่พนักงานมีอายุ 55 ปีขึ้นไป และต้องมีส่งเงินสมทบกองทุนไม่น้อยกว่า 15 ปี
สวัสดิการที่จ่ายตอบแทนเมื่อลูกจ้างไม่ได้ทำงาน
บางครั้งลูกจ้างก็อาจมีเหตุจำเป็นที่ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เนื่องด้วยเหตุผลต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น วันหยุดนักขัตฤกษ์ มีธุระส่วนตัว หรือลาพักร้อน เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้ต้องขาดรายได้ในช่วงที่หยุดงาน ดังนั้น สวัสดิการที่จ่ายค่าตอบแทนเมื่อลูกจ้างไม่ได้ทำงานก็ควรที่จะต้องมี โดยวันหยุดตามกฎหมายที่พนักงานยังได้รับค่าตอบแทน มีดังนี้
วันหยุดพักผ่อนประจำปี
ลูกจ้างที่ทำงานติดต่อกันมาเป็นระยะเวลาครบ 1 ปีสามารถหยุดพักผ่อนประจำปีได้ตามที่ พ.ร.บ. คุ้มครองแรงงานได้กำหนดไว้ โดยปีหนึ่งไม่น้อยกว่า 6 วัน และยังคงได้รับค่าจ้างตามปกติ โดยวันหยุดพักผ่อนนั้นนายจ้างและลูกจ้างสามารถทำการตกลงร่วมกันได้ว่าจะหยุดเมื่อไร อย่างไร หรือทางบริษัทอาจจะกำหนดให้ก็ได้ โดยบางบริษัทก็ให้สิทธิสะสมวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้กับพนักงาน เช่น หากปีนี้ไม่ได้ใช้สิทธิลาก็สามารถสะสมไปใช้ในปีหน้าได้
วันหยุดตามประเพณี
วันหยุดพักผ่อนประจำปีที่บริษัทควรมีให้พนักงาน คือ ไม่น้อยกว่า 13 วัน ซึ่งรวมวันแรงงานแห่งชาติไว้ด้วย โดยทางบริษัทต้องจ่ายเงินในวันหยุดตามประเพณีให้แก่ลูกจ้างของตน ส่วนบริษัท โรงแรม หรือธุรกิจอื่นๆ ที่จำเป็นจะต้องทำงานในวันหยุดตามประเพณี หรือศาสนาต่างๆ สามารถทำข้อตกลงร่วมกันว่าจะหยุดวันใดทดแทน หรืออาจจ่ายเงินทดแทนเวลาที่ต้องมาทำงาน เป็นต้น
วันลาเนื่องจากธุระส่วนตัว
การลาเนื่องจากธุระส่วนตัวหรือที่เรียกว่า ลากิจนั้น คือ วันที่ลูกจ้างสามารถลาเพื่อไปทำกิจธุระส่วนตัวที่จำเป็น เช่น ลาบวช ลาป่วย ลาเพื่อรับราชการทหาร รับปริญญา หรือลาเพื่อทำเอกสารเกี่ยวข้องกับระบบราชการ เป็นต้น โดยพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานกำหนดให้มีวันลาได้ไม่น้อยกว่า 3 วันต่อปี และมีสิทธิได้รับค่าจ้างตามเวลาทำงานปกติ
สวัสดิการด้านบริการ
สวัสดิการด้านการบริการเป็นอีกสวัสดิการพนักงานที่ทุกบริษัทจำเป็นต้องมี เนื่องจากเป็นการอำนวยความสะดวกในการทำงาน และลดค่าใช้จ่ายต่างๆ ให้แก่ลูกจ้างในบริษัท โดยแต่ละบริษัทจะมีการจัดหาบริการต่างๆ มากน้อยแตกต่างกันไปตามแต่การพิจารณา โดยสวัสดิการที่พบเจอบ่อยๆ ตามบริษัทต่างๆ มีดังนี้
- บริการรถรับ-ส่ง
- ที่พักฟรี
- ชุดยูนิฟอร์มฟรี
- อาหาร เช่น มื้อกลางวัน มื้อเย็น หรืออาหารว่าง
- โบนัสประจำปี
- ที่จอดรถ
- บริการเงินกู้ฉุกเฉิน
สวัสดิการในสถานที่ทำงานที่กฎหมายกำหนดไว้
หลังจากทราบถึงสวัสดิการขั้นพื้นฐานของพนักงานแต่ละคนกันไปแล้ว คราวนี้มาดูกันว่าสวัสดิการในสถานที่ทำงานที่ต้องมีอะไรบ้าง
น้ำดื่ม
น้ำดื่มถือเป็นสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต เพราะฉะนั้น บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องมีน้ำดื่มสะอาดไว้รองรับพนักงาน หากสถานที่ทำงานมีลูกจ้างไม่เกิน 40 คน ควรมีน้ำดื่มเตรียมพร้อมไว้ 1 จุด โดยจุดน้ำดื่มจะเพิ่มขึ้น 1 จุดต่อพนักงาน 40 คน ดังนั้น หากมีพนักงานจำนวนมากขึ้นเท่าใด จุดบริการน้ำดื่มก็ต้องมีเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ห้องน้ำ
ห้องน้ำเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย เพราะพนักงานทุกคนจำเป็นที่จะต้องใช้ห้องน้ำในทุกๆ วัน ห้องน้ำนั้นจะต้องมีแยกเป็นห้องน้ำชายและห้องน้ำหญิง หากมีพนักงานที่เป็นผู้พิการ ก็จำเป็นจะต้องมีห้องน้ำสำหรับผู้พิการรองรับด้วย โดยบริษัทต้องมีการรักษาสุขลักษณะในห้องน้ำไม่ให้สกปรก มีการทำความสะอาดอยู่เป็นประจำ พร้อมทั้งตรวจสอบอุปกรณ์ในห้องน้ำอยู่สม่ำเสมอ หากมีอะไรเสียหายจะต้องทำการแก้ไขในทันที
การรักษาพยาบาล
การรักษาพยาบาลเบื้องต้นเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ตามบริษัทต่างๆ ควรจะต้องมีบริการด้านนี้ไว้ให้บริการพนักงานด้วยเช่นกัน โดยสามารถแบ่งได้ดังนี้
บริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 10-199 คน
ในกรณีที่บริษัทมีพนักงานตั้งแต่ 10-199 คน ตามข้อบังคับการจัดหาเวชภัณฑ์และยาเพื่อใช้ ที่ปรากฏอยู่ในพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ซึ่งกำหนดไว้ว่าต้องมีเวชภัณฑ์และยาเพียงพอต่อจำนวนพนักงาน บริษัทจะต้องเตรียมเวชภัณฑ์ที่ใช้ในการปฐมพยาบาล ดังนี้
- อุปกรณ์ในการประเมินอาการ และปฐมพยาบาลเบื้องต้น: กรรไกร แก้วยาน้ำ แก้วยาเม็ด เข็มกลัด ถ้วยน้ำ ที่ป้ายยา ปรอทวัดไข้ ปากคีบปลายทู่ ผ้าพันยืด ผ้าสามเหลี่ยม สายยางรัดห้ามเลือด สำลี ผ้าก๊อซ ผ้าพันแผล ผ้ายางปลาสเตอร์ปิดแผล หลอดหยดยา แอลกอฮอล์เช็ดแผล และถ้วยล้างตา
- ยาใช้ภายในและภายนอกทั่วไป หรือยาสามัญประจำบ้าน: ขี้ผึ้งแก้ปวดบวม ทิงเจอร์ไอโอดีน หรือโพวิโดน-ไอโอดีน น้ำยาโพวิโดน-ไอโอดีนชนิดฟอกแผล ผงน้ำตาลเกลือแร่ ยาแก้ผดผื่นที่ไม่ได้มาจากการติดเชื้อ ยาแก้แพ้ ยาทาแก้ผดผื่นคัน ยาธาตุน้ำแดง ยาบรรเทาปวดลดไข้ ยารักษาแผลน้ำร้อนลวก ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เหล้าแอมโมเนียหอม (ยาดมบรรเทาอาการวิงเวียน) ขี้ผึ้งป้ายตา น้ำกรดบอริคล้างตา และยาหยอดตา
บริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 200-999 คน
ในกรณีที่บริษัทมีพนักงานตั้งแต่ 200-999 คนขึ้นไป จำเป็นต้องมีเวชภัณฑ์ และยาพื้นฐานเช่นเดียวกับบริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 200 คน ตามรายการในข้อแรก โดยต้องมีสวัสดิการการรักษาพยาบาล ดังต่อไปนี้เพิ่มเติมมาด้วย
- ยาอื่น: นอกเหนือจากที่กฎหมายระบุไว้ ตามความจำเป็น และต้องเพียงพอต่อการปฐมพยาบาลเบื้องต้น
- ห้องรักษาพยาบาลพร้อมเตียงคนไข้: อย่างน้อย 1 เตียง
- พยาบาลประจำ ระดับพยาบาลเทคนิคขึ้นไป
- แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง อย่างน้อย 1 คน เข้าตรวจรักษาไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 6 ชั่วโมง
บริษัทที่มีพนักงานตั้งแต่ 1000 ขึ้นคน
ในกรณีที่บริษัทมีพนักงานตั้งแต่ 1000 คนขึ้นไป จำเป็นต้องมีเวชภัณฑ์ และยาพื้นฐานเช่นเดียวกับบริษัทที่มีพนักงานน้อยกว่า 200 คน ตามรายการในข้อแรก โดยต้องมีสวัสดิการการรักษาพยาบาล ดังต่อไปนี้เพิ่มเติมมาด้วย
- ห้องรักษาพยาบาลพร้อมเตียงคนไข้ อย่างน้อย 2 เตียง และเวชภัณฑ์อันจำเป็นเพียงพอแก่การรักษา
- พยาบาลพยาบาลประจำ อย่างน้อย 2 คน
- แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่ง อย่างน้อย 2 คนประจำตามเวลาที่กำหนด เวลาทำงานปกติคราวละไม่น้อยกว่า 2 ชั่วโมง
- ยานพาหนะ นำลูกจ้างส่งสถานพยาบาล
เปิดผลสำรวจสวัสดิการที่พนักงานยุคใหม่อยากได้
จากผลการสำรวจของ Jobthai พบว่า นอกจากเนื้องานและเงินเดือนแล้ว แคนดิเดตในปัจจุบันยังนำเอาสวัสดิการพนักงานที่บริษัทมอบให้ มาเป็นอีกปัจจัยพิจารณาเลือกองค์กรอีกด้วย หากบริษัทให้เงินเดือนเยอะ แต่สวัสดิการน้อยและไม่ครอบคลุม ก็อาจส่งผลให้ผู้คนหันไปตัดสินใจร่วมงานกับบริษัทที่จ่ายน้อยกว่า แต่สวัสดิการดีและครอบคลุมมากกว่าได้
ในส่วนนี้ได้รวบรวมสวัสดิการที่พนักงานยุคใหม่อยากได้ หากองค์กรต้องการดึงบุคลากรที่มีความสามารถ หรือรักษาพนักงานที่มีศักยภาพเอาไว้ นี่คือสวัสดิการเพิ่มเติมที่พนักงานกำลังมองหา
การพักผ่อนและความบันเทิง
สวัสดิการพนักงานเกี่ยวกับการพักผ่อนและความบันเทิง เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากสามารถช่วยคลายความเครียดจากการทำงานและเพิ่มความสุขในการทำงานได้ รวมถึง ยังช่วยให้พนักงานในองค์กรมีความใกล้ชิดและสนิทสนมกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งมีส่วนช่วยในการทำงานเป็นทีม โดยสวัสดิการเกี่ยวกับการพักผ่อนและความบันเทิงมีหลายอย่าง เช่น
- การสังสรรค์ประจำปี: การจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปีให้แก่พนักงาน เป็นกิจกรรมที่ช่วยสร้างความสนุกสนานและผ่อนคลายให้กับพนักงานที่ทำงานกันมาด้วยความเหน็ดเหนื่อยในแต่ละปี ทั้งยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีแก่คนในองค์กรอีกด้วย
- กิจกรรมร่วมกันในองค์กร: กิจกรรมก็เป็นสวัสดิการพนักงานอีกตัวเลือกหนึ่ง ที่ช่วยให้พนักงานในองค์กรได้สานสัมพันธ์กัน แถมยังช่วยเพิ่มทักษะและความรู้ต่างๆ ได้อีกด้วย กิจกรรมต่างๆ ที่ทำร่วมกัน อย่างเช่น การเวิร์กช็อป หรือการศึกษาดูงาน
- Outing ประจำปี: เป็นกิจกรรมที่ใครๆ ก็ต้องชอบ เพราะการได้ออกไปเที่ยวทั้งในประเทศและนอกประเทศก็เป็นการพักผ่อนที่ดี แถมยังได้ใช้เวลาร่วมกับเพื่อนๆ ในบริษัทมากขึ้น สร้างความเป็นกันเองลดความกดดันในการทำงานร่วมกัน
การพัฒนาความรู้และศักยภาพเพิ่มเติม
ในหลายๆ บริษัทได้จัดให้มีการอบรม หรือกิจกรรมเวิร์กช็อป เพื่อเพิ่มพูนทักษะให้แก่พนักงานในสังกัด ทำให้พนักงานสามารถนำความรู้มาใช้ต่อยอดในบริษัท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มากยิ่งขึ้น เช่นการอบรมภาษาอังกฤษ หรือการใช้งานโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ เป็นต้น
วันหยุด และวันลาพิเศษที่นอกเหนือจากกฏหมายกำหนด
นอกเหนือจากวันลาที่กฎหมายกำหนดแล้ว บริษัทก็สามารถอนุญาตให้พนักงานในบริษัทมีวันหยุด และวันลาที่นอกเหนือจากที่กฎหมายกำหนดได้เช่นกัน ซึ่งวันลาเหล่านี้เป็นอีกหนึ่งสวัสดิการที่พนักงานยุคใหม่อยากได้เช่นกัน
- วันลาปวดประจำเดือน: แม้วันลาในช่วงรอบเดือนจะยังเป็นที่ถกเถียงกันว่าควรอนุญาตหรือไม่ แต่ก็ถือเป็นวันลาพิเศษที่หลายๆ บริษัทควรพิจารณา เนื่องจากอาการปวดประจำถือเป็นปัญหาสุขภาพ ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มผู้ที่มีประจำเดือนหลายคน และสามารถส่งผลกระทบกับการทำงานโดยภาพรวมได้ จากการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน British Medical Journal ระบุว่า อาการที่เกี่ยวข้องกับการมีรอบเดือน เช่น เลือดออก อาการปวด หรือภาวะอารมณ์ดิ่งลง สามารถทำให้ความสามารถในการทำงานลดลง รวมถึง ในระยะเวลา 1 ปี มีกลุ่มตัวอย่างกว่า 13.8% เคยขาดงานหรือลาหยุดเนื่องจากอาการต่างๆ ในช่วงรอบเดือน
- ลากิจฉุกเฉิน: หรือวันลาในกรณีที่เกิดเหตุไม่คาดคิด และอุบัติเหตุ เช่น รถติด รถไฟฟ้าไม่สามารถให้บริการได้ ปัญหาน้ำท่วม หรือรถเฉี่ยว ก็ถือว่าเป็นวันลาที่จำเป็น ซึ่งแต่ละบริษัทจะพิจารณาตามดุลยพินิจของนายจ้างว่าจะให้เป็นวันลาพิเศษ หรือเป็นการนับเป็นวันลาพักร้อนแทน โดยลูกจ้างจำเป็นต้องแจ้งความจำเป็นกับหัวหน้างานด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นอาจเข้าข่าย No Work No Pay ซึ่งคือ การมาสายหรือไม่มาตามเวลาทำงานที่กำหนด โดยนายจ้างมีสิทธิไม่จ่ายเงินให้ลูกจ้างเนื่องจากไม่มาปฏิบัติการได้
- Leave without Pay: Leave without Pay แปลว่า การให้หยุดงานแบบไม่รับเงินเดือน ซึ่งส่วนมากจะเกิดจากนายจ้างต้องการพักงานพนักงานของตัวเอง หรือพนักงานมีภารกิจส่วนตัวที่ต้องการลางานเป็นระยะเวลานาน โดย Leave without Pay นั้น ต้องเกิดจากความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายด้วย อย่างไรก็ตาม ลูกจ้างที่ถูกให้พักงานก็ควรที่วางแผนสำรอง ว่าจะทำอย่างไรต่อไปในช่วงเวลาดังกล่าวไว้ด้วยเช่นกัน
ค่าตอบแทนพิเศษ
ค่าตอบแทนพิเศษ คือ ค่าตอบแทนอื่นๆ นอกเหนือจากเงินเดือนที่ตกลงกันไว้ ซึ่งถือเป็นสวัสดิการที่บริษัทควรมีให้กับพนักงาน เพราะเป็นสิ่งที่จูงใจลูกจ้างหลายๆ คนให้มาร่วมงานกับบริษัท โดยเงินค่าตอบแทนพิเศษมีหลายอย่าง เช่น
- โบนัส: เงินโบนัส คือ ค่าตอบแทนนอกเหนือจากเงินเดือน บริษัทในแต่ละที่ก็จะมีเกณฑ์การให้โบนัสที่แตกต่างกัน อาจจะให้ทุกครึ่งปีหรือทุกปี โดยให้กับพนักงานที่ทำผลงานดี หรือทำให้องค์กรประสบความสำเร็จและก้าวหน้า
- ค่าล่วงเวลา: หรือ ค่า OT เป็นเงินที่บริษัทให้แก่พนักงาน กรณีที่ลูกจ้างทำงานให้เกินกว่าเวลาทำงานปกติ หรือมาทำงานในวันหยุด
การทำงานที่บ้าน (Work from Home)
ในยุคปัจจุบันการทำงานแบบ Work from Home กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว พนักงานหลายคนก็ให้ความสนใจกับการทำงานรูปแบบนี้ เนื่องจากเวลาทำงานที่ยืดหยุ่นได้มากขึ้น สามารถผ่อนคลายได้มากกว่าเวลาทำงานในออฟฟิศ และไม่จำเป็นต้องเดินทาง แถมส่งผลให้อัตราการลาออกจากงานของพนักงานลดลงอย่างมาก
บริการอาหารกลางวัน
บริการอาหารกลางวันถือเป็นสวัสดิการที่พนักงานจำนวนมากต้องการ เนื่องจากช่วยลดค่าจ่ายเรื่องค่าอาหารลงได้ และยังช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานได้
บริการปรึกษาจิตแพทย์
เรื่องสภาพจิตใจเป็นเรื่องที่องค์กรไม่ควรมองข้าม สภาพจิตใจที่ย่ำแย่ เช่น ปัญหาความเครียดสะสม หรือปัญหาภาวะหมดไฟในการทำงาน (Burnout Syndrome) เป็นต้น สามารถส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานและสุขภาพโดยรวมของพนักงานได้ การมีสวัสดิการด้านบริการปรึกษาจิตแพทย์ ทำให้ลูกจ้างมองเห็นว่าองค์กรมีความใส่ใจต่อเรื่องที่ละเอียดอ่อน แสดงให้เห็นถึงความมีศักยภาพในการดูแลพนักงานในองค์กรได้เป็นอย่างดี
หลายๆ คนคงได้คำตอบกันไปแล้วว่าสวัสดิการพนักงานมีอะไรบ้าง สำหรับสวัสดิการพนักงานเป็นสิ่งที่ทุกบริษัทจำเป็นต้องมี ซึ่งจะเป็นไปตามที่กฏหมายกำหนด ไม่ว่าจะเป็น วันหยุดประจำปี ค่าชดเชยเมื่อเลิกจ้าง และสิทธิในการลา เป็นต้น นอกจากนี้ บางบริษัทยังมีสวัสดิการอื่นๆ เพิ่มเติมที่นอกเหนือจากที่กฏหมายกำหนดด้วย เพื่อตอบแทนที่พนักงานทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มที่ รวมถึง จากผลการสำรวจสวัสดิการที่พนักงานยุคใหม่อยากได้เพิ่มเติมมีด้วยกันหลายข้อ เช่น การสังสรรค์ประจำปี คอร์สเรียนเพิ่มเติม และการทำงานที่บ้าน เป็นต้น