โดนปลดฟ้าผ่าไม่ทันตั้งตัว ทำยังไงดี? เรามาทำความรู้จักกับเงินชดเชยเลิกจ้าง ซึ่งสำคัญมากๆ ต่อเหล่าลูกจ้าง เพื่อไม่ให้เราเสียเปรียบนายจ้างหรือไม่ทำให้เราโดนเอาเปรียบได้ง่ายๆ ดังนั้นการรู้สิทธิที่เราควรจะได้รับนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ แม้เรายังไม่ถูกเลิกจ้างแต่รู้ไว้ก็ไม่เสียหาย โดยบทความนี้เราจะมาดูกันว่าหากในกรณีที่ถูกเลิกจ้างกระทันหันเราจะได้เงินค่าชดเชยอะไรบ้าง หรือหากไม่ได้เงินชดเชยจะต้องทำอย่างไร
Table of Contents
เงินชดเชยเลิกจ้าง คืออะไร?
เงินชดเชยเลิกจ้าง คือเงินที่นายจ้างจะต้องให้กับลูกจ้างในกรณีที่ต้องบอกเลิกสัญญาจ้างโดยที่ลูกจ้างไม่สมัครใจและไม่มีความผิดใดๆ จากการที่ถูกเชิญให้ออกจากงาน โดยการให้เงินชดเชยเลิกจ้างนั้นเป็นเงินประเภทอื่นที่เหนือไปจากค่าจ้างที่ตกลงกันตามสัญญา และเป็นเงินชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541
กรณีไหนบ้างที่ไม่ได้เงินชดเชยเลิกจ้าง
ในการบอกเลิกสัญญาจ้างหรือเชิญให้ออกบางกรณี นายจ้างไม่จำเป็นที่จะต้องให้เงินค่าชดเชยแก่ลูกจ้าง โดยกรณีต่างๆ มี ดังนี้
กรณีที่ลูกจ้างออกเอง หรือลูกจ้างมีความผิด
กรณีที่ลูกจ้างทำผิดสัญญาจ้าง หรือลูกจ้างเป็นผู้ประสงค์จะออกจากงานเองนายจ้างไม่จำเป็นที่จะต้องให้ค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง โดยความผิดที่ไม่ได้เงินค่าชดเชยเลิกจ้างมี ดังนี้
- ถูกเชิญออกจากการมีความผิด ซึ่งได้รับการตักเตือนแล้วหรือความผิดรุนแรงที่ต้องเชิญให้ออกทันที
- ขาดงานติดต่อกัน 3 วัน โดยไม่มีเหตุจำเป็นใดๆ
- ทุจริตต่อหน้าที่และองค์กร ทำผิดต่อกฎหมายอาญา
- ทำความเสียหายอย่างรุนแรงต่อนายจ้างและองค์กร
- ลูกจ้างมีโทษจำคุก
- ลูกจ้างประสงค์ที่จะลาออกเอง
- ยกเลิกสัญญาโดยมีการกำหนดระยะเวลาล่วงหน้าแน่นอน และมีการแจ้งไว้แล้ว
กรณีที่ต้องลดจำนวนพนักงานเพื่อปรับปรุงหน่วยงาน
ในกรณีที่องค์กรมีการเปลี่ยนแปลงและต้องการบอกเลิกสัญญาจ้างแก่พนักงานบางส่วนเพื่อปรับเปลี่ยนอัตราจำนวนพนักงาน จำเป็นที่จะต้องลูกจ้างที่ต้องถูกบอกเลิกจ้างเป็นระยะเวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 60 วัน ซึ่งหากผิดเงื่อนไข คือเชิญให้ออกโดยไม่แจ้งลูกจ้างล่วงหน้า นายจ้างต้องจ่ายค่าชดเชยตามอัตราค่าจ้าง 60 วัน สุดท้ายให้แก่ลูกจ้าง หรือในกรณีที่ลูกจ้างมีอายุการทำงานในองค์กรมากกว่า 6 ปี ขึ้นไป นายจ้างต้องจ่ายเงินค่าชดเชยอัตราค่าจ้างสุดท้ายเป็นจำนวน 15 วัน ต่อ 1 ปี โดยรวมกันไม่เกินอัตราค่าจ้างสุดท้าย 360 วัน
กรณีย้ายสถานที่ทำงานที่ส่งผลต่อการทำงานของลูกจ้าง
กรณีย้ายสถานที่ทำงานและส่งผลต่อลูกจ้าง นายจ้างจะต้องแจ้งอย่างน้อยก่อนย้าย 30 วัน หากไม่มีการแจ้งแก่พนักงาน จะต้องชดเชยตามอัตราค่าจ้างสุดท้าย 30 วัน หรือหากการย้ายสถานที่ทำงานส่งผลต่อพนักงานจนทำให้ต้องเลิกสัญญาจ้าง นายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยพิเศษให้ไม่น้อยกว่า 50% ของอัตราค่าชดเชยปกติ
ค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง ต้องได้ตอนไหน
ในกรณีที่ลูกจ้างถูกเลิกจ้างที่จะต้องได้รับเงินชดเชย โดยค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างจะต้องได้รับภายในวันสุดท้ายที่ทำงาน ซึ่งหากไม่เป็นไปตามเงื่อนไขลูกจ้างสามารถร้องเรียนได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรมตามการคุ้มครองแรงงาน
อัตราค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง คิดยังไง
อัตราเงินชดเชยเลิกจ้าง จะคิดตามอายุงานและตามเงินเดือนของลูกจ้างที่ได้เข้ามาทำงานภายในองค์กร โดยจำนวนงานที่แตกต่างกันก็ส่งผลทำให้อัตราค่าชดเชยต่างกันออกไป ซึ่งอายุงานจะผันแปรตามอัตราค่าชดเชยที่ได้รับ โดยยิ่งจำนวนอายุงานมากก็จะได้รับอัตราค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างสูงตามไปด้วย โดยมีอัตราค่าชดเชย ดังนี้
อายุงาน | อัตราค่าชดเชย |
ไม่น้อยกว่า 120 วัน แต่ไม่ถึง 1 ปี | ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 30 วัน (1 เดือน สุดท้าย) |
มากกว่า 1 ปี แต่ไม่ถึง 3 ปี | ค่าจัางอัตราสุดท้าย 90 วัน (3 เดือน สุดท้าย) |
มากกว่า 3 ปี แต่ไม่ถึง 6 ปี | ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 180 วัน (6 เดือนสุดท้าย) |
มากกว่า 6 ปี แต่ไม่ถึง 10 ปี | ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 240 วัน (8 เดือนสุดท้าย) |
มากกว่า 10 ปี แต่ไม่ถึง 20 ปี | ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 300 วัน (10 เดือนสุดท้าย) |
มากกว่า 20 ปี ขึ้นไป | ค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน (13.3 เดือนสุดท้าย) |
เงินอื่นๆ ที่ต้องได้ กรณีถูกเลิกจ้าง
การถูกเลิกจ้างนั้นลูกจ้างมีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน โดยเงินก้อนอื่นๆ ที่เราจะต้องได้รับในฐานะลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างนั้นมีอะไรบ้าง ดังนี้
เงินค่าจ้าง
ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 17 ได้ระบุไว้ ดังนี้ “นายจ้างสามารถเลิกจ้างพนักงานได้แต่ต้องมีการบอกล่วงหน้าเป็นหนังสือภายในกำหนดจ่ายค่าจ้างครั้งใดๆ เพื่อให้มีผลเมื่อถึงก่อนกำหนดจ่ายครั้งถัดไป” กล่าวคือ หากระบบการจ่ายเงินเดือนเป็นการจ่ายในรอบทุกๆ สิ้นเดือน แต่ถูกนายจ้างแจ้งเลิกจ้างภายในสิ้นเดือนนี้ ลูกจ้างจะได้รับค่าจ้างของเดือนนี้และเดือนถัดไปแบบเต็มๆ แม้ว่าเดือนถัดไปจะถูกเชิญให้ออกจากงานก็ตาม ซึ่งถือเป็นค่าตกใจที่นายจ้างไม่บอกกล่าวล่วงหน้า
เงินทดแทนกรณีว่างงานจากประกันสังคม
เงินทดแทนกรณีว่างงานจากประกันสังคม ในกรณีที่เราทำงานในบริษัทเอกชน โดยเป็นเงินที่บริษัทหรือนายจ้างของเราได้หักส่วนหนึ่งจากเงินเดือนออกไปออมสมทบไว้ให้แก่เรา ซึ่งเงินจากประกันสังคมจะเป็นไปตามเงื่อนไขประกันสังคมสำหรับผู้ประกันตนในมาตรา 33 และมีการส่งเงินเข้าประกันสังคม 6 เดือน ขึ้นไป โดยเงินทดแทนจากการว่างงานนี้เราอาจจะได้รับมากสูงสุดถึง 50 % ของเงินเดือน หรือ สูงสุดถึง 7,500 บาท เป็นเวลาไม่เกิน 6 เดือน ซึ่งเงินจากประกันสังคมเราจะได้รับก็ต่อเมื่อเราเข้าไปลงทะเบียนรายงานสถานะว่างงานของเรา ภายในระยะเวลา 30 วัน หลังจากถูกเลิกจ้าง ด้วยเช่นกัน จึงจะได้รับเงินชดเชยกรณีเลิกจ้างนี้มา และเราก็จะต้องรายงานตัวกับระบบในทุกๆ เดือนเพื่อเราจะได้ค่าชดเชยในกรณีที่เรายังไม่ได้งานใหม่
เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน หรือ เงินจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือเงินที่หน่วยงานหรือองค์กรจะต้องให้แก่ลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้าง โดยจะมีการคิดอัตราค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างตามอายุงานหรือเงินเดือนที่ลูกจ้างได้เข้ามาทำงานในองค์กรนั้นๆ โดยยิ่งเงินเดือนและอายุงานมากก็จะได้เงินค่าชดเชยมากขึ้นตามไป ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 180 กล่าวคือ “นายจ้างต้องจ่ายเงินชดเชยให้กับลูกจ้างเป็นเงินก้อนหนึ่ง ซึ่งขึ้นกับอายุงานและค่าจ้างหรือเงินเดือนที่เคยได้รับ” ซึ่งอัตราเงินชดเชยเลิกจ้างจะเป็นไปตามตารางอัตราค่าชดเชยที่ได้กล่าวไปก่อนหน้า
ไม่ได้เงินหลังถูกเลิกจ้าง ต้องทำยังไง
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม คือการที่นายจ้างไม่ได้จ่ายค่าชดเชยให้แก่เราตามที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานได้กำหนด หรือการที่ไม่มีการบอกล่วงหน้าและไม่มีค่าบอกล่วงหน้าจากการถูกเลิกจ้าง โดยในกรณีดังกล่าว ลูกจ้างสามารถทำได้ 2 กรณี เพื่อให้ได้รับความเป็นธรรม ดังต่อไปนี้
ยื่นฟ้องกับกรมแรงงาน
ลูกจ้างสามารถยื่นฟ้องต่อศาลแรงงาน หรือ กระทรวงแรงงาน ได้โดยตรง โดยที่ไม่ต้องผ่านทนาย อีกทั้งยังไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการใดๆ เลย ซึ่งลูกจ้างผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการเลิกจ้างนั้นจะต้องเตรียมเอกสารสำคัญต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม และจึงจะไปยื่นฟ้องด้วยวาจาต่อศาลแรงงานในเขตที่มีอำนาจตามพื้นที่ของตน
ยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน
การยื่นคำร้องต่อพนักงานตรวจแรงงาน ลูกจ้างจะต้องทำการเข้าไปติดต่อและร้องเรียนต่อพนักงานตรวจแรงงานที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานในพื้นที่ที่สำนักงานของบริษัทหรือนายจ้างของเราตั้งอยู่ โดยเมื่อเจ้าหน้าที่ได้รับคำร้องก็จะมีการทำการตรวนสอบข้อเท็จจริง โดยการสอบถามจากทั้งสองฝ่าย ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง เพื่อทำการวินิจฉัยข้อเท็จจริงของการเลิกจ้างว่ามีความเป็นธรรม หรือเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่
ข้อควรระวังในการพรีเซนต์งาน
หลังจากการฟ้องการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมลูกจ้างจะได้สิทธิใน 2 กรณี ดังต่อไปนี้
กรณีที่ทำงานร่วมกันต่อได้
ในกรณีที่สามารถทำงานร่วมกันต่อไป จะเป็นการยื่นฟ้องเพื่อเรียกน้องให้นายจ้างรับกลับเข้าไปทำงานในตำแหน่งเดิม ซึ่งลูกจ้างจะได้รับสิทธิต่างๆ คือ
- ค่าจ้างที่ขาดหายไปในระหว่างที่ได้รับความไม่ธรรมในการเลิกจ้าง
- ค่าดอกเบี้ย
กรณีที่ทำงานร่วมกันต่อไม่ได้
การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจนทำให้ไม่สามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้ ลูกจ้างมีสิทธิที่จะได้รับค่าชดเชย ดังต่อไปนี้
- ค่าชดเชยจากจากการเลิกจ้าง
- ค่าชดเชยจากความเสียหายที่ได้รับจากการถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม
- ค่าสินจ้างแทนการบอกเลิกจ้างล่วงหน้า
- ดอกเบี้ย
สรุป
เงินชดเชยเลิกจ้างคือเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างหรือพนักงานทุกคนควรรู้ เนื่องจากเป็นสิทธิที่ตนควรได้รับ และมีการคุ้มครองลูกจ้างไว้ภายใต้กฎหมายคุ้มครองแรงงาน โดยเงินค่าชดเชยจะได้ก็ต่อเมื่อลูกจ้างถูกเชิญให้ออกจากงานในกรณ๊ที่ลูกจ้างไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา ไม่ได้มีความผิดใดๆ ต่อนายจ้างและองค์กร หรือถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งเงินค่าชดเชยกรณีเลิกจ้างที่จะได้รับจึงเป็นสิทธิที่จะช่วยดูแลและคุ้มครองให้ลูกจ้างมีเงินสำรองเลี้ยงชีพต่อไปหลังถูกเลิกจ้าง และเพื่อให้ได้รับความเป็นธรรมตามกฎหมายแรงงาน โดยหากลูกจ้างพบว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรมและไม่ได้รับเงินชดเชยกรณีเลิกจ้าง ก็สามารถยื่นฟ้องและร้องเรียนด้วยตนเองได้ที่สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เพื่อสิทธิประโยชน์ของตนเอง