|
Table of Contents
การทำงานแบบ Hybrid คืออะไร ทำไมถึงนิยมในยุคดิจิทัล
การทำงานแบบ Hybrid คือการผสมผสานระหว่างการเข้าออฟฟิศและการทำงานจากที่อื่น ช่วยให้พนักงานมีความยืดหยุ่นในการจัดการเวลาทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดเวลาเดินทางและเพิ่มความยืดหยุ่น (Work-Life Balance) เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยให้การทำงานทางไกลสะดวกขึ้น ทั้งการสื่อสารและการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ องค์กรสามารถปรับใช้ให้เหมาะกับลักษณะงาน ช่วยลดต้นทุนสำนักงาน และดึงดูดบุคลากรคุณภาพ อย่างไรก็ตามความท้าทายอยู่ที่การบริหารทีมและการรักษาประสิทธิภาพการทำงาน Hybrid Working จึงเป็นแนวทางที่ตอบโจทย์การทำงานในยุคดิจิทัลได้อย่างลงตัว โดยการทำงานแบบไฮบริดแบ่งออกเป็น 5 รูปแบบหลัก ดังนี้
1. Remoted-Freindly
Remote-Friendly คือรูปแบบการทำงานแบบไฮบริด โดยองค์กรหรือบริษัทสนับสนุนการทำงานทางไกล แต่ไม่ใช่นโยบายหลักที่ต้องทำการทำงานทางไกลเสมอไป โดยยังคงมีการทำงานในสำนักงานร่วมด้วย อีกทั้งยังมีระบบและเครื่องมือดิจิทัล เช่น ระบบประชุมออนไลน์ และแพลตฟอร์มการสื่อสาร ที่จะถูกนำมาใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานทางไกล และรูปแบบนี้ยังเปิดโอกาสให้องค์กรเข้าถึงบุคลากรที่มีศักยภาพจากทุกที่ได้อีกด้วย
จุดเด่นหลักของ Remote-Friendly คือความยืดหยุ่น (Work-Life Balance) และการเพิ่มความพึงพอใจให้กับพนักงาน ลดเวลาเดินทาง โดยพนักงานสามารถทำงานทางไกลหรือนอกสำนักงานในบางครั้ง แต่ยังคงสามารถทำงานในสำนักงานตามความจำเป็น
2. Fixed Hybrid
Fixed Hybrid คือรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid ที่กำหนดวันเข้าออฟฟิศและวันทำงานจากที่อื่นอย่างชัดเจน พนักงานต้องปฏิบัติตามตารางที่องค์กรกำหนด เช่น การเข้าออฟฟิศ 3 วันต่อสัปดาห์ และทำงานจากที่อื่น 2 วัน องค์กรวางโครงสร้างการทำงานให้สมดุลระหว่างการทำงานร่วมกันในสถานที่จริงและความยืดหยุ่นจากการทำงานทางไกล
จุดเด่นของ Fixed Hybrid คือช่วยให้พนักงานปรับตัวง่าย ลดภาระค่าใช้จ่ายสำนักงานบางส่วน แต่ยังคงส่งเสริมการทำงานเป็นทีม อย่างไรก็ตามต้องมีการบริหารเวลาและพื้นที่สำนักงานอย่างเหมาะสม เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพสูงสุด
3. Collaboration Days
Collaboration Days คือวันที่องค์กรกำหนดให้พนักงานต้องเข้าออฟฟิศเพื่อทำงานร่วมกันแบบออนไซต์ โดยเน้นการประชุม วางแผนระยะยาว และทำกิจกรรมที่ต้องใช้การสื่อสารแบบเผชิญหน้า รูปแบบนี้ช่วยเสริมสร้างทีมเวิร์กและวัฒนธรรมองค์กร ในขณะที่ยังคงความยืดหยุ่นของ Hybrid Work
จุดเด่นของ Collaboration Days คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานเป็นทีม แก้ไขปัญหาได้รวดเร็ว และสร้างการมีส่วนร่วมของพนักงาน แต่องค์กรควรวางแผนวันให้เหมาะสม เพื่อให้พนักงานได้รับประโยชน์สูงสุดจากการทำงานร่วมกันในวันดังกล่าว
4. Flexible Hybrid
Flexible Hybrid คือรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid ที่ให้อิสระแก่พนักงานในการเลือกสถานที่ทำงานตามความสะดวก โดยไม่มีการกำหนดตารางเวลาเข้าออฟฟิศที่ตายตัว พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านหรือที่ออฟฟิศได้ตามความต้องการ แต่ยังคงมีการติดต่อสื่อสารและร่วมงานผ่านเครื่องมือดิจิทัลที่มีประสิทธิภาพ
จุดเด่นของ Flexible Hybrid คือความยืดหยุ่นที่ช่วยเพิ่มความพึงพอใจในการทำงาน และรองรับพนักงานในหลากหลายสถานการณ์ เช่น การดูแลครอบครัว หรือการทำงานในพื้นที่ที่แตกต่างกัน ขณะเดียวกันยังคงรักษาความเชื่อมโยงระหว่างทีมและองค์กร
5. Remoted First
Remote-First คือแนวทางการทำงานที่องค์กรออกแบบระบบให้รองรับการทำงานทางไกลเป็นหลัก โดยพนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้ องค์กรจะเน้นการใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่ช่วยสนับสนุนการทำงานทางไกล เช่น การประชุมผ่านวิดีโอคอล การจัดการโปรเจกต์ออนไลน์ และการสื่อสารผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ ที่ทำให้การทำงานร่วมกันเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จุดเด่นของ Remote-First คือรูปแบบการทำงานที่ช่วยให้พนักงานมีความยืดหยุ่นสูง สามารถทำงานจากที่ไหนก็ได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดต้นทุนในการดำเนินงานขององค์กรเนื่องจากไม่ต้องมีสำนักงานขนาดใหญ่ หรือสำนักงานย่อย การทำงานแบบ Remote-First ยังต้องอาศัยการสื่อสารที่ชัดเจนและกระบวนการทำงานที่เหมาะสมเพื่อให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพ แม้จะทำงานจากที่ไกลกัน
การปรับใช้รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid ให้เหมาะกับทีม
รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid คือทางเลือกที่ช่วยตอบโจทย์ความต้องการของพนักงานในยุคปัจจุบันได้ดี การผสมผสานระหว่างการทำงานจากที่บ้านและการทำงานในสำนักงาน ซึ่งช่วยให้พนักงานมีความยืดหยุ่นในการจัดการงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างสมดุล โดยมีวิธีนำมาปรับใช้ ดังนี้
เริ่มจากสำรวจความคิดเห็นของคนในทีม
สร้างแบบสอบถามเพื่อให้พนักงานสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความสะดวกสบายและความต้องการในการทำงานแบบ Hybrid ถามถึงความคาดหวังของพนักงาน เช่น
- จำนวนวันที่ต้องการทำงานจากบ้านหรือในสำนักงาน
- มีประสบการณ์ทำงานนอกออฟฟิศ เช่น จากบ้าน หรือสถานที่อื่นๆ มาก่อนหรือไม่
- ปัญหาหรืออุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นหากทำงานในรูปแบบนี้
- การประชุมกลุ่ม (Focus Group) ให้พนักงานในทีมมาร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำงานในรูปแบบไฮบริด
ใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยในการทำงาน
การทำงานในรูปแบบ Hybrid ร่วมกันให้มีประสิทธิภาพและสะดวกยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะทำงานจากที่บ้านหรือที่สำนักงาน เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้การสื่อสาร การจัดการโปรเจกต์ และการทำงานร่วมกันระหว่างทีมเป็นไปได้อย่างราบรื่น ตัวอย่างเช่น การใช้แพลตฟอร์มออนไลน์อย่าง Microsoft Teams หรือ Zoom สำหรับการติดต่อสื่อสารและการประชุม การใช้เครื่องมือจัดการโปรเจกต์อย่าง Trello, Asana ช่วยให้ทีมสามารถติดตามความคืบหน้าและแบ่งงานได้อย่างมีระเบียบ
นอกจากนี้เครื่องมือการเก็บข้อมูลและการทำงานร่วมกันอย่าง Google Drive, Dropbox หรือ Microsoft OneDrive ยังช่วยให้พนักงานสามารถเข้าถึงเอกสารและทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ได้ทุกที่ทุกเวลา การใช้เครื่องมือเหล่านี้ทำให้การทำงานในรูปแบบ Hybrid มีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพสูง โดยไม่กระทบต่อคุณภาพและผลลัพธ์ของงาน
เลือกรูปแบบให้เหมาะสม
การเลือกรูปแบบการทำงาน Hybrid ที่เหมาะสมต้องพิจารณาจากลักษณะงาน วัฒนธรรมองค์กร และความต้องการของพนักงาน หากองค์กรต้องการความร่วมมือบ่อยครั้ง บางวันทำงานที่ออฟฟิศ รูปแบบ Collaboration Days หรือรูปแบบ Remoted-Freindly อาจเหมาะสมที่สุด
ส่วนงานที่ทำได้จากระยะไกลอาจเลือกใช้ รูปแบบ Remoted First และแบบเลือกวันทำงานที่ออฟฟิศได้ รูปแบบ Fixed Hybrid ตอบโจทย์ความต้องการได้ดีที่สุด หรือเลือกผสมรูปแบบการทำงาน Hybrid ที่เหมาะสมกับทั้งองค์กร พนักงาน เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นและความพึงพอใจในการทำงาน
รับฟังฟีดแบ็กจากทีม
การปรับใช้รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid ให้เหมาะสมกับทีมต้องใช้เวลาในการปรับตัว โดยเฉพาะเมื่อมีการเปลี่ยนจากการทำงานในออฟฟิศเป็น Work From Home ซึ่งจำเป็นต้องเก็บ Feedback จากทีมอย่างต่อเนื่อง หัวหน้าทีมควรใช้หลายช่องทางในการเก็บข้อมูล เช่น การพูดคุยหรือแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเข้าใจความต้องการของทีมและสามารถระบุปัญหาพร้อมหาทางแก้ไขได้ทันที
ข้อดีของการทำงานแบบ Hybrid
การทำงานแบบ Hybrid มีข้อดีหลายประการที่สามารถตอบสนองความต้องการของทั้งองค์กรและพนักงานได้ ดังนี้
พนักงานมีอิสระในการทำงาน
พนักงานมีอิสระจากการทำงานในรูปแบบ Hybrid เพราะสามารถเลือกสถานที่ทำงานได้ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน สำนักงาน หรือสถานที่อื่นๆ ซึ่งช่วยให้พนักงานสามารถจัดการเวลาของตัวเองได้ดีขึ้นและมีอิสระในการทำงานตามความสะดวกของตนเองมากยิ่งขึ้น
ดึงดูดพนักงานใหม่ๆ ให้มาร่วมงานด้วยกัน
การเสนอรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid เป็นอีกหนึ่งจุดขายที่ช่วยดึงดูดพนักงานใหม่ๆ ให้เข้ามาทำงานในองค์กร เพราะความยืดหยุ่นในการทำงานนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนมองหา โดยเฉพาะในยุคที่การทำงานจากระยะไกลกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยม
ที่ทำงานมีความยืดหยุ่นขึ้น
ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการทำงานทั้งในด้านสถานที่และเวลามากขึ้น โดยการทำงานแบบ Hybrid ทำให้องค์กรสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานตามความเหมาะสม เช่น พนักงานสามารถทำงานจากที่บ้านในวันที่ไม่ต้องการการพบปะกับทีม หรือเลือกทำงานที่ออฟฟิศเมื่อจำเป็น
พนักงานมี Work-Life Balance
การทำงานในรูปแบบ Hybrid ช่วยให้พนักงานสามารถสร้างสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ดีขึ้น พวกเขาสามารถจัดสรรเวลาในการทำงานจากที่บ้านเพื่อให้สามารถดูแลครอบครัวหรือทำกิจกรรมส่วนตัวได้ตามความสะดวกโดยไม่ต้องเผชิญกับความเครียดจากการเดินทาง
ลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง
การทำงานแบบ Hybrid ช่วยลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางของพนักงาน เช่น ค่ารถ ค่าที่จอดรถ หรือค่าน้ำมัน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้พนักงาน แต่ยังช่วยลดต้นทุนให้กับองค์กรในระยะยาวเช่นกัน
ข้อจำกัดของการทำงานแบบ Hybrid
การทำงานแบบ Hybrid ถึงแม้ว่าจะมีข้อดีมากมายแต่ก็ยังมีข้อจำกัดและสิ่งที่ควรคำนึงถึง เพื่อให้การทำงานในรูปแบบนี้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดและไม่เกิดปัญหาตามมาในระยะยาว โดยมีข้อจำกัด ดังนี้
ไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน
การทำงานจากที่บ้านหรือที่ต่างจังหวัดในรูปแบบ Hybrid อาจทำให้พนักงานขาดโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ซึ่งการทำงานในออฟฟิศมักมีการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และการทำกิจกรรมร่วมกันที่ช่วยเสริมสร้างทีมงาน หากพนักงานไม่ได้พบปะกันบ่อยครั้งอาจทำให้เกิดความรู้สึกแยกตัวออกจากทีมและขาดการเชื่อมโยงกับเพื่อนร่วมงาน
ขอบเขตการทำงานไม่ชัดเจน
บางคนอาจจะสามารถสร้างสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้ในรูปแบบ Hybrid แต่สำหรับบางคน อาจพบว่าไม่มีการแบ่งขอบเขตที่ชัดเจนระหว่างเวลาทำงานและเวลาพักผ่อน จนอาจทำให้รู้สึกว่าต้องทำงานตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อไม่ได้มีการกำหนดเวลาทำงานที่ชัดเจน ทำให้บางคนทำงานเกินเวลาหรือรู้สึกเครียดกับงานที่ยังคงค้างอยู่ จนส่งผลกระทบต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ส่วนตัว
พนักงานรู้สึกกดดันเพิ่มขึ้น
ในบางกรณี การทำงานแบบ Hybrid อาจทำให้พนักงานรู้สึกกดดันเพิ่มขึ้น เนื่องจากความคาดหวังจากทั้งสองรูปแบบการทำงาน พนักงานบางคนอาจรู้สึกว่าต้องแสดงผลลัพธ์หรือทำงานให้ได้ตามมาตรฐานในทั้งสำนักงานและระยะทางที่ทำงานจากที่บ้าน ความคาดหวังในการทำงานที่สูงอาจทำให้พนักงานรู้สึกเครียดและอาจทำให้เกิดภาวะ Burnout ได้ง่ายขึ้น
องค์กรหรืออาชีพแบบไหนเหมาะกับการทำงานแบบ Hybrid
แม้การทำงานแบบ Hybrid Working มีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ก็เหมาะสำหรับองค์กรหรืออาชีพที่มีลักษณะงานที่สามารถทำได้ทั้งในสำนักงานและจากระยะไกล เช่น อาชีพด้านการพัฒนาเทคโนโลยี การตลาด การบริหารจัดการโปรเจกต์ หรือการให้คำปรึกษา ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการพบปะลูกค้าหรือทีมงานในสำนักงานทุกวัน
องค์กรที่มีวัฒนธรรมการทำงานที่ให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและการสนับสนุนเทคโนโลยีในการทำงานร่วมกัน ก็เหมาะสมกับการนำรูปแบบนี้มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความพึงพอใจในการทำงาน
สรุป
การทำงานแบบ Hybrid คือรูปแบบการทำงานที่ผสมผสานระหว่างการทำงานจากที่บ้านและการทำงานที่สำนักงาน โดยพนักงานสามารถเลือกทำงานจากที่ใดก็ได้ตามความสะดวก โดยไม่จำเป็นต้องมาที่สำนักงานทุกวัน สามารถแบ่งได้เป็น 5 ประเภท ได้แก่ Remoted-Freindly, Fixed Hybrid, Collaboration Days, Flexible Hybrid และ Remoted First การเลือกทำงานในที่ต่างๆ เป็นไปตามความต้องการของทีมและปัจจัยอื่นๆ ที่ปรับให้เหมาะสมกับลักษณะของงานและองค์กร
การเลือกใช้รูปแบบการทำงานแบบ Hybrid สำหรับความยืดหยุ่นในการทำงานควรพิจารณาให้ละเอียดทั้งข้อดีและข้อจำกัด เพื่อให้ทีมทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สอดคล้องกับลักษณะงานของแต่ละคน และสามารถบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ที่ CW Tower มีออฟฟิศให้เช่าทั้งแบบพร้อมใช้งานและตกแต่งเอง รองรับการทำงานแบบ Hybrid ด้วยพื้นที่ที่ยืดหยุ่น ช่วยให้ทีมสามารถจัดสรรเวลาและสถานที่ทำงานได้ตามความต้องการ เพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์การทำงานที่มีความยืดหยุ่นสูง