คุณกำลังหางานแต่จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าจะหาจากที่ไหนอยู่หรือเปล่า? เพราะในปัจจุบัน มีแพลตฟอร์มช่วยหางานให้เลือกหลากหลาย แต่ละแพลตฟอร์มก็มีจุดโดดเด่นที่แตกต่างกัน แล้วแต่ว่าเราจะสะดวกใช้งานกับแพลตฟอร์มแบบไหน แต่หากจะพูดถึงแพลตฟอร์มที่ครบครันในการช่วยสมัครงาน การันตีคุณภาพงานได้ ต้องเลือก LinkedIn เลย เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมทั่วโลก มาดูรายละเอียดกันว่า LinkedIn คืออะไร? ทำไมเหล่ามนุษย์ออฟฟิศยุคใหม่ต้องรู้จัก พร้อมวิธีสร้าง Profile อย่างไรให้น่าสนใจ และการสมัครงานให้ได้งานที่ต้องการกันในบทความนี้!
Table of Contents
มารู้จัก LinkedIn คืออะไร
LinkedIn คือแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็นสื่อกลางระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง มีจุดประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรต่างๆ ได้หาคนเข้าไปทำงาน อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คนที่กำลังหางานได้สมัครงานตามที่ต้องการอีกด้วย ซึ่งคนที่กำลังหางานสามารถสร้าง Profile ของตัวเองให้น่าสนใจด้วยการใส่ข้อมูลที่จำเป็นเข้าไป ทั้งข้อมูลด้านการศึกษา ประสบการณ์การทำงาน หรือความสามารถพิเศษ เพื่อเป็นข้อมูลให้องค์กรต่างๆ พิจารณาในการเลือกรับเราเข้าทำงานนั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยให้ทั้งนายจ้างและลูกจ้าง WIN-WIN กันทั้งสองฝ่าย
ประโยชน์ของ LinkedIn มีอะไรบ้าง
หากใครยังไม่เข้าใจว่าทำไม LinkedIn จึงเป็นแพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามสำหรับการหางาน มาดูประโยชน์ของ LinkedIn กันก่อน เพื่อช่วยให้การตัดสินใจง่ายมากขึ้น
1. ช่วยเพิ่มโอกาสหางาน
LinkedIn ช่วยอำนวยความสะดวกในการตามหางานที่ต้องการ โดยสามารถหางานได้ตามคีย์เวิร์ดและสถานที่ที่ผู้ใช้ต้องการได้ เพื่อไม่ให้พลาดในหลายโอกาส จึงมีฟังก์ชันแจ้งเตือนเมื่อมีสายงานที่น่าสนใจและเข้ากับคุณสมบัติของผู้ใช้อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน Open to Work เพื่อแสดงจุดยืนว่าคุณกำลังหาโอกาสในการพัฒนาตัวเองในสายอาชีพนั้นๆ และหากคุณมี LinkedIn Premium ก็สามารถเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเพื่อเปรียบเทียบ Profile ของคุณเองกับผู้สมัครคนอื่นๆ ได้อีกด้วย
2. ช่วยสืบค้นข้อมูลองค์กรก่อนตัดสินใจสมัคร
ก่อนสมัครงานในองค์กรต่างๆ สิ่งที่สำคัญคือการวิเคราะห์ข้อมูลขององค์กรนั้นๆ เพื่อพิจารณาว่าวัฒนธรรมขององค์กรจะสามารถเข้ากับไลฟ์สไตล์เรามากแค่ไหน LinkedIn จึงเป็นพื้นที่ที่องค์กรต่างๆ ใช้เป็นพื้นที่ในการอัปเดตข้อมูลเชิงลึกของบริษัทเอาไว้ เพื่อเป็นข้อมูลให้ผู้สมัครได้พิจารณาเพิ่มเติมนั่นเอง
3. ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ
LinkedIn มีระบบการดำเนินการตรวจสอบข้อมูลจาก Profile ของเราอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับทักษะความรู้ การศึกษา สกิลต่างๆ รวมถึงยังสามารถเผยแพร่ข้อมูลเพื่อพิสูจน์ความน่าเชื่อถือของคุณได้อีกด้วย ทั้งนี้ด้วยความที่แพลตฟอร์ม LinkedIn นั้นมีความน่าเชื่อถืออยู่แล้ว จึงยิ่งทำให้ Profile ของคุณได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก
4. ช่วยให้ทันข่าวสาร
LinkedIn ไม่ได้มีแต่หน้า Profile เท่านั้น แต่ยังมีฟังก์ชันที่คล้ายกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอื่นๆ คือจะรวบรวมข้อมูลที่เราสนใจขึ้นไทม์ไลน์ เพื่อให้สามารถเท่าทันข่าวสารและสามารถอัปเดตข้อมูลต่างๆ ได้อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะข้อมูลจากบริษัทที่เรากำลังสนใจหรือข้อมูลของสายงานอื่นๆ เพื่อประกอบการพิจารณาสำหรับการเลือกงานนั่นเอง
5. ช่วยเพิ่มสกิลต่างๆ
สิ่งที่ทำให้แพลตฟอร์มอย่าง LinkedIn แตกต่างจากแพลตฟอร์มหางานอื่นๆ คือ LinkedIn มีคอร์สเรียนออนไลน์ฟรี เพื่อเพิ่มทักษะหรือสกิลต่างๆ อีกทั้งยังได้รับใบ Certificate อีกด้วย ซึ่งจะมีการเรียนผ่านแพลตฟอร์มที่เรียกว่า LinkedIn Learning ที่มีหลักสูตรให้ได้เรียนรู้ถึง 16,000 หลักสูตร ซึ่งมีการสอนโดยผู้เชี่ยวชาญด้านนั้นจริงๆ เช่น ทักษะเกี่ยวกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ ธุรกิจ วิทยาศาตร์ การออกแบบ การตลาด เป็นต้น
วิธีสมัคร LinkedIn แบบฉบับเข้าใจง่าย
หากตัดสินใจแล้วว่าอยากหางานผ่าน LinkedIn ขั้นตอนต่อไปคือการสมัครเข้าใช้งาน LinkedIn ด้วยขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
- เข้าสู่หน้า Homepage ของ LinkedIn ผ่านเว็บไซต์ https://www.linkedin.com/
- กรอกรายละเอียด ทั้งชื่อ นามสกุล อีเมล และรหัสผ่านให้เรียบร้อย
- กรอกชื่อประเทศ และรหัสไปรษณีย์ที่อยู่ให้เรียบร้อย
- หากเคยทำงานมาแล้ว ให้กรอกข้อมูลตำแหน่งงาน และบริษัทที่เคยทำมาล่าสุด ในกรณีที่เป็นนักศึกษาอยู่ ให้กดเลือกว่ากำลังเป็นนักศึกษา พร้อมบอกปีที่เริ่มศึกษาและปีที่จบไปด้วย
- จะมีรหัสยืนยันเข้าไปใน Inbox อีเมลที่กรอกไว้ ให้นำรหัสนั้นกรอกลงไป การสมัครจึงเป็นอันเสร็จสิ้น
เทคนิคสมัครงานผ่าน LinkedIn ยังไงให้ได้งาน
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า LinkedIn นั้นได้รับความนิยมมาก จึงทำให้หลายๆ คนนิยมหางานกันในแพลตฟอร์มนี้เป็นจำนวนมาก ควรทำอย่างไรให้เราเป็นหนึ่งในคนที่ถูกเลือกโดยองค์กรที่เรากำลังสนใจ ไปดูเคล็ดลับดีๆ กันได้เลย!
เริ่มค้นหางานที่ต้องการ
เริ่มต้นด้วยการค้นหางานที่กำลังสนใจ โดยการเข้าไปที่หน้า Profile แล้วกดที่ไอคอน ‘งาน’ เพื่อค้นหาตำแหน่งงานหรือองค์กรที่อยากทำ แต่ทั้งนี้ผลลัพธ์ที่ได้อาจจะกว้างเกินไปสำหรับคุณ การกรองผลการค้นหาจึงเป็นอีกขั้นตอนที่สำคัญ
Filter งานตามความต้องการ
ต่อมาเลือก ‘ตัวกรองทั้งหมด’ เพื่อ Filter หรือตั้งค่าผลการแสดงการค้นหาได้ตรงตามความต้องการของเรามากยิ่งขึ้น ซึ่งตัวกรองมีอยู่ด้วยกัน 10 รายการ ดังนี้
- วันที่โพสต์
- ระดับของประสบการณ์
- บริษัท
- ประเภทของงาน
- ทำที่บริษัท หรือทำนอกสถานที่
- สถานที่ตั้ง
- ประเภทอุตสาหกรรม
- หน้าที่ของงาน
- ตำแหน่งที่ทำ
- เงินเดือน
เปิดแจ้งเตือนเมื่อมีงานใหม่ๆ เข้ามา
หากพอใจกับผลการค้นหางานแล้ว เทคนิคต่อมาคือการตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับงานที่สนใจด้วย เพื่อที่จะได้รับอัปเดตหรือข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับงานประเภทนั้นอย่างสม่ำเสมอ เพียงกดที่ ‘ตั้งค่าการแจ้งเตือน’ ด้านบนของรายการผลการค้นหา ระบบจะทำการบันทึกผลการค้นหานั้น แล้วแจ้งเตือนให้ได้ทราบต่อไป
ติดต่อผู้ว่าจ้างโดยตรง มีโอกาสมากกว่า!
การรอโอกาสเข้ามาหาในเวลาที่ใช่ อาจใช้เวลารอนานเกินไป แต่ไม่เสียหายอะไรหากเราเดินเข้าไปหาโอกาสนั้นด้วยตัวเอง โดยเฉพาะการสมัครงานโดยการเข้าไปติดต่อกับองค์กรที่สนใจโดยตรง อาจจะใช้วิธีการส่งอีเมลเพื่อแสดงถึงจุดเด่นและเอกลักษณ์ของเราเอง อธิบายว่าหากองค์กรรับคุณเข้าทำงาน องค์กรจะได้อะไรจากเราบ้าง เรียกได้ว่าเป็นการนำเสนอข้อดีของตัวเราเอง ทั้งยังเป็นการแสดงถึงความมั่นใจ และเป็นการแสดงทัศนคติที่ดีอีกด้วย
เคล็ด (ไม่) ลับ! สร้าง Profile LinkedIn ยังไงให้เตะตา น่าสนใจ
ต่อมาเป็นขั้นตอนการสร้าง Profile ให้ดูน่าสนใจ เพราะหาก Profile ดูดี มีคุณภาพ จะยิ่งเป็นการสร้างโอกาสให้ได้งานที่ต้องการมากขึ้น
1. เลือกรูปโปรไฟล์ที่น่าเชื่อถือ
รูปโปรไฟล์ต้องเป็นรูปที่เหมาะสม สุภาพ ไม่แปลกตาจนเกินไป และรูปโปรไฟล์จำเป็นต้องเป็นรูปหน้าตรง เห็นใบหน้าชัดเจน แต่ทั้งนี้อาจปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของตำแหน่งงานหรือองค์กรที่สมัครงานด้วย
2. พาดหัวโปรไฟล์ให้กระชับ ชัดเจน
พาดหัวโปรไฟล์ต้องกระชับ ชัดเจน เพื่อให้องค์กรต่างๆ ที่กำลังมองหาบุคลากรสามารถรับรู้ได้ทันทีว่าความต้องการของคุณตรงกับจุดประสงค์ขององค์กรหรือไม่ โดยการจัดองค์ประกอบของพาดหัวควรคำนึงถึงความถูกต้องด้วย เพื่อที่จะได้ไม่พลาดโอกาสในการทำงานนั่นเอง
3. พรีเซนต์ตัวเองให้ครบ
ประสบการณ์คือสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าคุณผ่านอะไรมาบ้าง แต่คนนอกอาจจะไม่ได้รู้ลึกขนาดนั้น ดังนั้นการพรีเซนต์ตัวเองให้ชัดเจนจึงสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการนำเสนอในด้านประสบการณ์การทำงานที่ผ่านมา การศึกษา ทักษะต่างๆ หรือแรงจูงใจที่จะทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อที่องค์กรที่ผ่านมาเห็น จะได้พิจารณารับคุณเข้าทำงานได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง
4. อัปเดตความสำเร็จอย่างสม่ำเสมอ
การอัปเดตความสำเร็จบนหน้าโปรไฟล์อยู่เสมอจึงเป็นสิ่งที่ดีที่จะแสดงให้องค์กรต่างๆ เห็นได้ว่าคุณมีความพยายามพัฒนาทักษะต่างๆ อย่างไร และคุณประสบความสำเร็จมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ควรอัปเดตให้มีความเกี่ยวข้องกับสายงานที่คุณอยากทำด้วย เพื่อให้เป็นข้อมูลในการช่วยประกอบการตัดสินใจขององค์กรในการรับคุณเข้าทำงานมากขึ้น
5. ใส่ประสบการณ์ให้เหมาะสม
คุณอาจจะมีประสบการณ์การในการทำงาน หรือการพัฒนาด้านต่างๆ มามากมาย แต่ไม่ใช่ทุกองค์กรจะมาตามอ่านทั้งหมด เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา การอัปเดตประสบการณ์ของคุณบนหน้าโปรไฟล์ได้อย่างเหมาะสมกับสายงานที่คุณอยากทำ จะยิ่งช่วยสร้างความประทับใจและเพิ่มโอกาสที่องค์กรเหล่านั้นจะรับคุณเข้าทำงานมากขึ้นอีกด้วย
6. ใส่หลักฐาน Certifications ต่างๆ
ใครๆ ก็บอกได้ว่าตัวเองมีจุดแข็งในด้านไหนหรือมีทักษะที่ยอดเยี่ยมเพียงใด แต่จะเป็นการดีหรือไม่ถ้าเราจะอัปเดตโปรไฟล์โดยการใส่ใบรับรอง (Certifications) เข้าไปด้วย เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นว่าเรามีทักษะในด้านนั้นจริงๆ และเพื่อแสดงความน่าเชื่อถือในตัวเราเช่นด้วย
7. อย่าลืมใส่ Connection บน Recommendations
สำหรับองค์กร การรับใครสักคนเข้าทำงานอาจต้องพิจารณาหลายๆ หลักเกณฑ์ หรืออาจจะต้องมองหาความคิดเห็นของบุคคลที่สาม เพื่อประกอบการพิจารณามากขึ้น ดังนั้นหากเรามีหนังสือแนะนำที่น่าเชื่อถือจากที่ทำงานเก่าที่สามารถแสดงถึงลักษณะการทำงานหรือทัศนคติของเราได้ ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสให้ตัวเองที่จะได้งานมากขึ้นไปอีก
สรุป
LinkedIn เป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มหางานทั่วไป สำหรับใครที่กำลังหางานอยู่ก็สามารถเข้าไปสร้าง Profile ของตัวเองให้ดูน่าสนใจ เพื่อให้องค์กรที่กำลังหาคนทำงานเข้ามาพิจารณาเลือกได้ แต่สิ่งที่ทำให้ LinkedIn แตกต่างจากแพลตฟอร์มอื่นๆ คือการมีฟังก์ชันที่ช่วยให้หางานได้ตรงตามความต้องการของแต่ละคนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีพื้นที่ในการพัฒนาทักษะในด้านต่างๆ เพื่อที่จะสร้างโปรไฟล์ให้เป็นที่น่าสนใจ แถมยังได้ใบรับรองในทักษะนั้นๆ อีกด้วย
แต่ไม่ใช่ว่าสมัคร LinkedIn แล้วจะได้งานเลย เพราะการสร้างโปรไฟล์ให้ดูน่าสนใจก็เป็นขั้นตอนสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะการใส่ข้อมูลต่างๆ ให้ชัดเจน รูปโปรไฟล์เหมาะสม เห็นหน้าชัดเจน มีใบรับรองที่เชื่อถือได้ หรือการมีหนังสือแนะนำจากที่ทำงานเก่า เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณมีทักษะการทำงานที่ดีอย่างไร หรือมีทัศนคติที่ตรงตามวัฒนธรรมของขององค์นั้นๆ หรือไม่